ตราและคำขวัญของมหาวิทยาลัย
          พุทธศักราช 2506 คณะกรรมการดำเนินการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ดำเนินการให้มีการออกแบบตรามหาวิทยาลัย
          ตรามหาวิทยาลัยแบบที่ผู้ออกแบบนำมาเสนอนั้น เป็นรูปเชิงเทียน 8 อัน ตั้งอยู่บนฐานพญานาค มีเทียน 8 เล่มจุดสว่างไสวอยู่บนเชิงเทียน เชิงเทียนทั้ง 8 มีความหมายว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะมี 8 คณะ ตามหลักการแบ่งสาขาวิชาขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ (UNESCO) แสงเทียน หมายถึง ความรู้และวิชาการต่างๆ เมื่อศาสตราจารย์บัวเรศ คำทอง นำเอาแบบตรามหาวิทยาลัยเข้าสู่ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ซึ่งมีพลเอกถนอม กิตติขจร เป็นนายกสภาฯ ที่ประชุมเห็นว่า เนื่องจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยประจำภาคเหนือ ตรามหาวิทยาลัย ควรจะมีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของภาคเหนืออยู่ด้วย ประธานที่ประชุมได้เสนอแนะว่า ทางภาคเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชียงใหม่นั้น ใช้ช้างเป็นสัญลักษณ์ เพราะช้างเป็นสัตว์ที่มีคุณค่าสูงมากในภาคเหนือ ที่ประชุมจึงได้มีมติให้นำรูปช้างมาเป็นตรามหาวิทยาลัย
          ผู้ออกแบบได้ออกแบบใหม่อีกครั้ง ในแบบนั้นมีช้างยืนชูงวงถือคบเพลิง แต่เป็นการยืนในท่วงท่าก้าวเดิน มองเห็นด้านหน้าได้ชัด ด้านข้างพอมองเห็นว่าอยู่ในท่าเหยาะย่างรอบๆ คบเพลิงบนหัวช้าง มีรัศมี 8 แฉก ดังนั้นโดยความหมายแล้ว ช้างหมายถึงภาคเหนือ การก้าวย่างของช้างหมายถึง ความเจริญก้าวหน้าไปไม่หยุดยั้ง คบเพลิง หมายถึง ความสว่างไสวแห่งปัญญาและวิชาการ รัศมี8 แฉก หมายถึงคณะทั้ง 8 ที่มหาวิทยาลัยจะจัดตั้งขึ้น
          พระยาศรีวิสารวาจา (อธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่) เห็นว่าตราของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ควรจะมีสุภาษิตหรือคำขวัญประจำมหาวิทยาลัยกำกับไว้ จึงได้มอบหมายให้ ศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม (อดีตคณบดีคณะมนุษยศาสตร์) กราบนมัสการขอพุทธภาษิตจากท่านเจ้าคุณ พระศาสนโสภณ (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สังฆปรินายก) วัดบวรนิเวศ และได้เลือกพุทธภาษิตบทที่ว่า “อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา” ซึ่งแปลว่า บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน เป็นคำขวัญประจำมหาวิทยาลัย และคณะกรรมการดำเนินการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กำหนดให้คำขวัญดังกล่าวอยู่ในกรอบเส้นรอบวงด้านบน และคำว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยู่ด้านล่าง และตรงกลางระหว่างข้อความทั้งสองมีดอกสัก ซึ่งมีกลีบดอก 6 กลีบคั่นกลาง (สักเป็นต้นไม้ที่มีค่าและมีอุดมสมบูรณ์ในภาคเหนือ)
 
 สีประจำมหาวิทยาลัย
 
          ในระยะแรกของการดำเนินการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น ศาสตราจารย์สุมนา คำทอง (หัวหน้าภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์) ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เลือกสีประจำมหาวิทยาลัย โดยคณะกรรมการดำเนินการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้กำหนดแนวทางให้เลือกสีที่มีความหมายเกี่ยวกับภาคเหนือ ในที่สุดศาสตราจารย์สุมนา คำทองได้เสนอให้ สีม่วง เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย เพราะมณฑลพายัพมีสีม่วงแดง (บานเย็น) เป็นสีประจำมณฑล แต่ได้กำหนดให้สีม่วงของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสีม่วงดอกรัก ทั้งนี้เพราะโรงเรียนบางแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ใช้สีม่วงแดงเป็นสีประจำโรงเรียนอยู่แล้ว
 
 พระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัย
 
"พระพุทธทศพลชินราช"
 
พระพุทธทศพลชินราช (องค์หลัง)
          ปีพุทธศักราช 2528 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดให้มีการฉลอง 20 ปี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดร.บุณย์ นิลเกษ ได้ร่วมหารือกับศาสตราจารย์ นายแพทย์
ประยุทธ ฐิตสุต
อธิการบดีในขณะนั้น เพื่อขออนุญาตจัดหาพระพุทธชินราช ขนาดหน้าตัก 60 นิ้ว มาประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นอนุสรณ์การเฉลิมฉลอง 20 ปีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมี เงื่อนไขว่าจะต้องมิให้มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น และขออนุญาตประดิษฐานองค์พระที่ศาลาธรรม
          เมื่อได้รับอนุญาตจากอธิการบดีแล้ว ประมาณเดือนมิถุนายน ดร.บุณย์ นิลเกษ ได้มีโอกาสไปประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับสภาสังคมสงเคราะห์ที่วัดเบญจมบพิตรฯ กรุงเทพฯ จึงได้มีโอกาสพบองค์พระซึ่งประดิษฐานอยู่หน้าห้องประชุมใหญ่ แต่เดิมองค์พระยังมิได้มีการปิดทองเพียงแต่ขัดทอง เท่านั้น ซึ่งมีความสง่างามมาก ดร.บุณย์ นิลเกษ จึงหาโอกาสเข้านมัสการพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ พระพุทธิวงศ์มุนี เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรฯ เพื่อขออัญเชิญองค์พระมาประดิษฐานที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นอนุสรณ์ 20 ปี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นพระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัยซึ่งมิเคยมีมาในอดีตและจะประดิษฐานองค์พระไว้ที่ศาลาธรรมด้วย พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระพุทธิวงศ์มุนีจึงให้ดร.บุณย์ นิลเกษ กลับมาประสานกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อทำหนังสือยืนยันอีกครั้ง
          สำหรับเจ้าภาพหล่อองค์พระ คือ นายแพทย์หมิง สุดสาคร และครอบครัว ได้ทำพิธีหล่อองค์พระตามพิธีหลวงอย่างสมบูรณ์แบบ ในวันวิสาขบูชา และรอเวลาที่จะนำองค์พระลงเรือไป ชิคาโก เมื่อพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพุทธิวงศ์มุนีแจ้งความประสงค์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แก่นายแพทย์หมิงแล้ว นายแพทย์หมิงจึงได้เดินทางมาดูศาลาธรรมซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระด้วย ตนเอง และมีความพึงพอใจมาก ในขณะเดียวกันพระเดชพระคุณพระพุทธชินวงศ์ก็ได้มาดูสถานที่ประดิษฐานองค์พระด้วย เมื่อครั้งมาปฏิบัติศาสนกิจที่จังหวัดเชียงใหม่ และได้ดำริให้ปิดทององค์พระ ทั้งองค์
          ในที่สุด คณะผู้อัญเชิญองค์พระ นำโดย ดร.บุณย์ นิลเกษ ก็ได้อัญเชิญองค์พระมาถึงวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 28 ธันวาคม พุทธศักราช 2528 อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พร้อมด้วยอาจารย์ เจ้าหน้าที่ และนักศึกษา จัดให้มีขบวนแห่ต้อนรับอย่างพร้อมเพรียงกัน ณ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จนถึงเวลา 14.09 น. ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประยุทธ ฐิตสุต เป็นประธานจุดธูปเทียนกล่าวอัญเชิญองค์พระขึ้นสู่รถยนต์บุษบก เพื่อนำขบวนออกจากวัด พระสิงห์วรมหาวิหาร ผ่านประตูช้างเผือกและมุ่งตรงสู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
          ดร.บุณย์ นิลเกษ ได้บรรยายเหตุการณ์ในระหว่างการเคลื่อนขบวนองค์พระจาก วัดพระสิงห์มายังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า "ในขบวนแห่องค์พระประกอบด้วยขบวนกลองสั้น กลองยาว และช่างฟ้อน จากคณะศรัทธาวัดต่างๆ ขบวนได้เคลื่อนออกจากวัดพระสิงห์ท่ามกลางฝนที่ตกอย่างหนัก บริเวณรอบองค์พระมีลมพัดกระโชกแรงจนทำให้สัปทนที่กางให้องค์พระหักทันที ที่บริเวณประตูช้างเผือก และมีเสียงตะโกนท่ามกลางกระแสลมที่แรงว่า "หลวงพ่อชินราชอยากดูเมืองเชียงใหม่เอาสัปทนทิ้งเสีย" จนกระทั่งเวลา 17.00 น. โดยประมาณ ขบวนแห่ก็มาถึงประตูมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อถึงเชิงบันไดศาลาธรรมขบวนฆ้อง กลองและช่างฟ้อน หยุดแห่ ฝนที่ตก โปรยปรายมาตลอดทาง ได้ตกกระหน่ำอย่างแรงอีกครั้ง เจ้าหน้าที่อัญเชิญองค์พระลงจากรถยนต์บุษบก นำโดยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ชัยโรจน์ เด่นอุดม ขณะนั้นฝนยังคงตกอย่างหนักทุกคนต้องเข้าไปหลบฝนในศาลาธรรม ทำให้ศาลาธรรมเล็กไปถนัดตา ผู้เขียนเองก็ขึ้นไปหลบฝนบนศาลาธรรมเช่นกันในการอัญเชิญองค์พระครั้งนั้นมีเรื่องน่าตื่นเต้น คือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายยกองค์พระทั้งคณะได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะยกองค์พระขึ้นศาลาธรรมแต่ก็ไม่สำเร็จ แม้ว่าจะได้เตรียมรถยกไว้แล้วก็ตาม แต่เห็นว่าเป็นการไม่สมควรที่จะทำเช่นนั้น หลวงพ่อพระเทพสารเวที (ขันธ์) จากวัดเจดีย์หลวงจึงมีบัญชาให้ผู้เขียนนำขันดอกไม้ ธูป เทียนและพระเกศไปอาราธนาอัญเชิญองค์พระ ผู้เขียนจึงนำขันดอกไม้และพระเกศเดินฝ่าสายฝนไปขอขมาและอาราธนาอัญเชิญขึ้นศาลาธรรม จึงสามารถยกองค์พระและอัญเชิญขึ้นฐานชุกชีโดยสะดวก
          หลังจากอัญเชิญองค์พระขึ้นสู่ศาลาธรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประยุทธ ฐิตสุต อธิการบดีได้นำพระเกศขึ้นถวาย (วางไว้บนเศียรองค์พระตามเดิม) จากนั้น พระสงฆ์ 108 รูป เจริญชัยมงคลคาถาและสวดพุทธชยมงคล (พาหุง) ถวายจนจบพร้อมกับฝนที่หยุดตกในทันที หลังจากเสร็จพิธีสงฆ์ จึงเป็นการมอบสิ่งของที่ระลึกแก่คณะช่างฟ้อน และขบวนแห่จากวัดต่างๆ"
          ปีพุทธศักราช 2529 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯขอพระราชทาน พระนาม เป็น "พระพุทธทศพลชินราช" เพื่อให้เป็นเกียรติมงคลแก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และในปี พุทธศักราช 2530 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์อาวุธ ศรีสุกรี อธิการบดีในขณะนั้น ได้จัดให้มีการทอดผ้าป่าสามัคคีร่วมกับคณะสงฆ์และประชาชนชาวเชียงใหม่ เพื่อก่อสร้าง "หอพระพุทธ" ให้เป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพุทธทศพลชินราชสืบไป
(ที่มา : ประวัติพระพุทธทศพลชินราช จากการเขียนบรรยายของ ดร. บุณย์ นิลเกษ)
 
"พระพุทธพิงคนคราภิมงคล"
 
พระพุทธนคราภิมงคล (องค์หน้า)
          ในวาระอันเป็นมหามงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในปี 2539 และในโอกาสที่เมืองเชียงใหม่มีอายุครบ 700 ปี มูลนิธิพัฒนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้พิจารณาเห็นสมควรที่คณาจารย์ ข้าราชการ นักศึกษา และศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทุกคนจะได้น้อมรำลึกถึงโอกาสอันเป็นมหามงคลจึงได้พร้อมใจกันดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคลที่ระลึกขึ้น โดยกำหนดเป็นโครงการสร้าง พระพุทธรูปศิลปล้านนา เหรียญพระครูบาศรีวิไชย รูปหล่อลอยองค์พระครูบาศรีวิไชย และแผ่นปั๊มนูนต่ำพระครูบาศรีวิไชยแบบห่มคลุม เพื่อเป็นศิริมงคลและเป็นที่สักการะบูชา
          ในการจัดสร้างวัตถุมงคลที่ระลึกครั้งนี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกที่ได้ทรงพระราชทานนามพระพุทธรูปที่จัดสร้างว่า "พระพุทธพิงคนคราภิมงคล" เพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยได้จัดให้มีพิธีเททอง ณ วัดพระธาตุดอยสุเทพ โดยมีเกจิอาจารย์ ชื่อดังจากทั่วประเทศมาร่วมพิธีทุกลำดับขั้นตอน
พระพุทธลักษณะของพระพุทธพิงคนคราภิมงคล
1. เป็นพระพุทธรูปแบบ "ศิลปล้านนา"
2. องค์พระสร้างด้วยเนื้อโลหะผสม ลงรักปิดทอง ล่องชาด
3. องค์พระจากฐานถึงปลายพระเกศยาว 24 เซนติเมตร มีขนาดหน้าตักกว้าง 5 นิ้ว
4. ฐานพระพุทธรูป เป็นฐาน 8 เหลี่ยม รอบวงกว้าง 54 เซนติเมตร สูง 5 เซนติเมตร ทำด้วยเงินกะไหล่ทอง ลายประดับลักษณะล้านนา
5. องค์พระพุทธรูปทรงเครื่องศิราภรณ์ทำด้วยทองคำ ทรงสังวาลย์นพเก้าเบื้องบนกั้นฉัตรทองคำ 5 ชั้น ระย้าประดับเพชรแท้ 9 เม็ด ทับทิมแท้ 11 เม็ด
6. มีพระนามย่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก "ญ.ส.ส." ทำด้วยทองคำประดับด้านหน้าฐานพระ
7. มีตราสัญลักษณ์ปีกาญจนาภิเษก ทรงครองราชย์ครบ 50 ปี เป็นทองคำลงยาประดับด้านหน้าฐานพระ
8. ด้านหลังพระพุทธรูปจะสลักชื่อ "พระพุทธพิงคนคราภิมงคล" ทำด้วยทองคำซึ่งได้รับ พระราชทานนามจากองค์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกและมีการสลักสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรูปช้างด้วยทองคำ
(ที่มา : วารสารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 22 , 363 (มี.ค.39) 3)
          
 เพลงมหาวิทยาลัย
 
1. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2. มช.ถิ่นสวรรค์
3. อ่างแก้ว
4. สวรรค์ มช.
5. ราตรีอ่างแก้ว
6. ลาแล้วเวียงขวัญ
7. มาร์ช มช.
8. เอื้องขวัญ
9. อ่างแก้วขวัญใจ
10. ลา มช.
11. ดาว มช.
12. คุ้มเกล้าชาว มช.
13. มช.รักกัน
14. มช.เร่งร๊อค
15. กลับมา มช.
16. มช.เกรียงไกร
17. รำวง มช.รักเรียน
18. รำวง มช. เชียงใหม่
19. ลาภูพิงค์
 
 ครุยวิทยฐานะ
 
          ครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีสามชั้น คือ
 
          1. ครุยดุษฎีบัณฑิต ทำด้วยผ้าหรือแพรสีดำ เย็บเป็นเสื้อคลุม ยาวเหนือข้อเท้าประมาณ 15 เซนติเมตร หลังจีบ ตัวเสื้อผ่าอกตลอด มีแถบกำมะหยี่สีดำ กว้าง 10 เซนติเมตร เย็บติดเป็นสาบตลอดด้านหน้าทั้งสองข้างและโอบรอบคอ เสื้อแขนกว้างยาวตกข้อมือ ปลายแขนรวบติดข้อมือ ตอนกลางแขนทั้งสองมีแถบกำมะหยี่สีดำ กว้าง 5 เซนติเมตร จำนวนสามแถบติดเรียงกันระยะห่าง 5 เซนติเมตร มีผ้าคล้องคอด้านนอก ทำด้วยผ้าหรือแพรสีดำเช่นเดียวกับเสื้อ ด้านในทำด้วยผ้าหรือแพรสีม่วงดอกรัก มีแถบกำมะหยี่สีประจำคณะหรือสีประจำสาขาวิชา กว้าง 8 เซนติเมตร ทาบรอบคอ ปลายนอกของผ้าคล้องคอขลิบด้วยผ้าหรือแพรสีม่วงดอกรัก กว้าง 1 เซนติเมตร ประกอบด้วยหมวกแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 24 เซนติเมตร ทำด้วยผ้าหรือแพรสีดำ มีพู่ทำด้วยดิ้นทองยาว 22 เซนติเมตร
          2. ครุยมหาบัณฑิต เช่นเดียวกับครุยดุษฎีบัณฑิต แต่แถบกำมะหยี่สีดำที่เย็บติดเป็นสาบ กว้าง 8 เซนติเมตร ต้นแขนกว้าง ปลายแขนแคบมีช่องสอดแขนออกมาที่ท้องแขน ทิ้งชายห้อย ไม่มีแถบที่แขน หมวกมีพู่ทำด้วยไหมสีดำยาว 22 เซนติเมตร
(สำหรับแพทยศาสตร์บัณฑิต ทันตแพทยศาสตร์บัณฑิต สัตวแพทยศาสตร์บัณฑิต ใช้ครุยมหาบัณฑิต)
          3. ครุยบัณฑิต เช่นเดียวกับครุยมหาบัณฑิต แต่แถบกำมะหยี่สีดำที่เย็บติดเป็นสาบ กว้าง 6 เซนติเมตร แขนกว้างยาวถึงข้อมือ
 
 เข็มวิทยฐานะ
 
          เพื่อความเป็นบัณฑิตโดยสมบูรณ์ บัณฑิตทุกคนจะได้รับเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปลายด้านล่างมน ทำด้วยโลหะ พื้นลงยาสีม่วง ขอบโดยรอบเป็นสีทอง มีตรามหาวิทยาลัยอยู่ตรงกลาง สำหรับชายขนาด 1.5 x 3 เซนติเมตร สำหรับหญิงขนาด 1.5 x 2.5 เซนติเมตร
 
 เครื่องแบบนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต้องการให้นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทุกคนมีบุคลิกภาพที่ดี เป็นที่ยอมรับต่อสังคม และเป็นที่ชื่นชมต่อผู้ที่ได้พบเห็นทั่วไป ทำให้นักศึกษาเกิดความภาคภูมิใจในสถาบัน อีกทั้งยังเป็นการเคารพต่อสถานที่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนั้นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้กำหนดเครื่องแบบนักศึกษาไว้ 2 โอกาสคือ เครื่องแบบนักศึกษาที่ใช้ทั่วไปในโอกาสปกติและเครื่องแบบนักศึกษาในโอกาสพิเศษ
 
เครื่องแบบนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้ง 2 โอกาส ในระยะแรกเริ่มก่อตั้งจนถึงปีพ.ศ. 2536
เครื่องแบบนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้ง 2 โอกาส ตั้งแต่ พ.ศ. 2536 เป็นต้นมา
 
 
เครื่องแต่งกายปกตินักศึกษาปีที่ 1
 
เครื่องแต่งกายปกตินักศึกษาปีที่ 2 ขึ้นไป
เครื่องแบบนักศึกษาชายที่ใช้ทั่วไปเป็นปกติประกอบด้วย
1. เสื้อเชิ้ตขาวเกลี้ยงไม่มีลวดลาย
2. ปกเสื้อแบบคอเชิ้ตปลายแหลม
3. ตัวเสื้อผ่าอกโดยตลอด ติดกระดุมสีขาวขนาดเล็ก
4. กระเป๋าเสื้อ 1 ใบ แบบเรียบไม่มีฝา
5. แขนเสื้อใช้แบบธรรมดาไม่พับแขนเสื้อ
6. ความยาวของตัวเสื้อเลยสะเอว เพื่อให้ขอบกางเกงทับได้โดยเรียบร้อย
7. กางเกงขายาวแบบสากล สีกรมท่า สีเทา สีดำ สีน้ำตาล สีน้ำเงินแก่
8. เข็มขัดหนังสีดำ มีหัวเข็มขัดทำด้วยโลหะ เป็นรูปสี่เหลี่ยม มีตรามหาวิทยาลัย หรือตราประจำคณะ
9. รองเท้าหุ้มส้นสีและแบบสุภาพ
10. ถุงเท้าสีและแบบสุภาพ
11. นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ให้ผูกเนคไทสีม่วงมหาวิทยาลัย หัวเข็มขัดตรามหาวิทยาลัย
   
เครื่องแบบนักศึกษาหญิงที่ใช้ทั่วไปเป็นปกติประกอบด้วย
1. เสื้อเชิ้ตสีขาวเกลี้ยงไม่มีลวดลาย
2. ปกเสื้อแบบคอเชิ้ตปลายแหลม
3. ตัวเสื้อผ่าอกโดยตลอด มีสาบเสื้อ ติดกระดุม 4 หรือ 5 เม็ด กระดุมเสื้อให้ใช้กระดุมโลหะสีเงิน ดุนเป็นรูปตรามหาวิทยาลัย
4. แขนเสื้อใช้แบบแขนสั้นธรรมดา
5. ความยาวของตัวเสื้อให้เลยสะเอวเพื่อให้ขอบกระโปรงทับได้โดยเรียบร้อย
6. เข็มกลัดเสื้อตรามหาวิทยาลัย กลัดเหนืออกเบื้องซ้าย
7. กระโปรงแบบเรียบสุภาพ สีดำ สีน้ำเงินแก่ สีเทาหรือสีน้ำตาล ความยาวพอดีเข่า
8. เข็มขัดหนังสีดำหัวเข็มขัดทำด้วยโลหะสีเงิน เป็นรูปสี่เหลี่ยม มีตรามหาวิทยาลัย หรือตราประจำคณะ
9. รองเท้าหุ้มส้นสีและแบบสุภาพ
10. นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ให้สวมรองเท้าหุ้มส้นสีขาว และถุงเท้าสั้นสีขาวไม่มีลวดลาย หัวเข็มขัดตรามหาวิทยาลัย
   
* สำหรับบัณฑิตศึกษา
การแต่งกายในโอกาสปกติของนักศึกษาชาย-หญิง ให้แต่งกายสุภาพ สวมรองเท้า หุ้มส้น สีและแบบสุภาพ
 
เครื่องแต่งกายนักศึกษาในโอกาสพิเศษ
เครื่องแบบนักศึกษาชายที่ใช้ในโอกาสพิเศษ ประกอบด้วย
1. เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวไม่มีลวดลาย
2. กางเกงขายาวแบบสากลสีขาว
3. รองเท้าหุ้มส้นสีดำ ไม่มีลวดลาย มีเชือกผูก
4. ถุงเท้าสีเดียวกับรองเท้า
5. เข็มขัดหนังหรือหนังกลับสีดำ ขนาด 3 ซม.มีหัวเข็มขัดทำด้วยโลหะสีเงินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 3x5 ซม. ดุนเป็นรูปตรามหาวิทยาลัย
6. เนคไทสีม่วง
7. เข็มกลัดเนคไทตรามหาวิทยาลัย
   
เครื่องแบบนักศึกษาหญิงที่ใช้ในโอกาสพิเศษ ประกอบด้วย
1. เสื้อทำด้วยผ้าสีขาวเกลี้ยง ไม่มีลวดลาย มีความหนาพอสมควร
1.1 ปกเสื้อแบบคอเชิ้ตปลายแหลม
1.2 ตัวเสื้อผ่าอกโดยตลอด มีสาบ 1.25 นิ้ว ติดกระดุม 4 หรือ 5 เม็ด
1.3 แขนเสื้อสั้นเหนือศอก
1.4 ความยาวของตัวเสื้อให้เลยสะเอวเพื่อให้กระโปรงทับได้โดยมิดชิด
2. กระดุมเสื้อ ให้ใช้กระดุมโลหะสีเงินดุนเป็นรูปตรามหาวิทยาลัย ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 ซม.
3. กระโปรงสีม่วงแบบเรียบทรงตรง ความยาวคลุมเข่า ผ่าด้านหลังทับซ้อนกัน 3 นิ้ว
4. เข็มขัดหนังหรือหนังกลับสีดำ ขนาดกว้าง 4 ซม. หัวเข็มขัดทำด้วยโลหะสีเงิน เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 4.5 ซม. ดุนเป็นรูปตรามหาวิทยาลัย
5. เข็มกลัดเสื้อตรามหาวิทยาลัย กลัดเหนืออกเบื้องซ้าย
6. รองเท้าหุ้มส้นสีดำ ส้นสูงไม่เกิน 2.5 นิ้ว