|
|
|
|
|
ศาลพระภูมิ |
|
|
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดพิธีตั้งศาลพระภูมิประจำมหาวิทยาลัย
เมื่อวันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2507 เวลา 9.00 10.00 น. ณ บริเวณหน้าตึกมหาวิทยาลัย
(ศาลาธรรมในปัจจุบัน) โดยมีศาสตราจารย์ ดร. บัวเรศ คำทอง รักษาการรองอธิการบดีและคณบดีคณะวิทยาศาสตร์
นายแพทย์บุญสม มาร์ติน รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายปกครอง ศาสตราจารย์
ดร. มล. ตุ้ย ชุมสาย คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และรักษาการคณบดีคณะสังคมศาสตร์
คณาจารย์ ข้าราชการ และนักศึกษาไปร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน |
|
เมื่อเสร็จพิธีตั้งศาลพระภูมิแล้ว
เหล่าคณาจารย์ ข้าราชการ และนักศึกษา ร่วมกันประกอบพิธีทางพุทธศาสนา
ณ ตึกมหาวิทยาลัย โดยมีท่านเจ้าคุณราชสุธี เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์
พิธีเริ่มด้วยท่านเจ้าคุณได้อธิบายความสำคัญของการตั้งศาลพระภูมิประกอบกับคำสอนทางพุทธศาสนาเสร็จแล้วจึงทำสมาทานศีล
ถวายสังฆทานและประพรมน้ำพระพุทธมนต์เป็นลำดับสุดท้าย |
|
ศาลาธรรม |
|
|
ศาลาธรรมเป็นอาคาร
2 ชั้น ทรงไทย ตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย ตัวอาคารประกอบด้วยห้องโถงกว้าง12
เมตร
ยาว 20 เมตร สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2507 ต่อมาได้มีการต่อเติมตัวอาคารด้านหลังและทำซุ้มเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัย |
ในระยะแรกศาลาธรรมเป็นสถานที่จัดพิธีไหว้ครูของ
นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อศาลาอ่างแก้วสร้างเสร็จจึงได้ประกอบพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและพิธีไหว้ครู
ณ ศาลาอ่างแก้ว มหาวิทยาลัยจึงใช้ศาลาธรรมเป็นสถานที่เปลี่ยนฉลองพระองค์
และประทับพักพระอิริยาบถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและ
พระบรมวงศานุวงศ์ในคราวเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร
ซึ่งเหล่าคณาจารย์ ข้าราชการ และนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็จะมาเฝ้ารอรับเสด็จ
ณ สถานที่แห่งนี้ |
|
ต่อมาเมื่อหอประชุมมหาวิทยาลัยสร้างเสร็จจึงได้ย้ายสถานที่พระราชทานปริญญาบัตรและพิธีไหว้ครูไปยังหอประชุมใหญ่
มหาวิทยาลัยจึงได้ใช้ศาลาธรรมเป็นสถานที่จัดงานสำคัญๆของมหาวิทยาลัยในบางโอกาส
เช่น การจัดงานแสดงความยินดี และงานเลี้ยงรับรองผู้มีเกียรติของมหาวิทยาลัย
เป็นต้น |
คำโปรย
: ที่เรียกศาลาธรรมเพราะมีการอาราธนาเจ้าคุณวินัยและพระสงฆ์รูปอื่นๆมาสนทนาธรรมกันที่นี่
: ชื่อศาลาธรรมก็ดีนะ เพราะที่กรุงเทพฯก็มีศาลาสันติธรรมแล้วศาลาธรรมเราเล็กกว่าเขา
|
|
สถานที่พระราชทานปริญญาบัตร |
|
|
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เริ่มเปิดสอนในวันที่
18 มิถุนายน พ.ศ. 2507 โดยระยะแรกมีเพียง 3 คณะ ได้แก่ คณะมนุษยศาสตร์
คณะสังคมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ ในปีพ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาฯ
และพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯมาทรงประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ
ณ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2508 และในปีเดียวกันนี้เองที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับโอนคณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ มาสังกัดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนั้นพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
ในครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2509) จึงเป็นพิธีพระราชทานปริญญาบัตรพร้อมกับมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์
ณ หอประชุมแพทยาลัย มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ครั้งที่ 2 (พ.ศ.2510)
จัด ณ พลับพลาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครั้งที่ 3-5
(พ.ศ. 2512 2514 ) จัด ณ พลับพลาบริเวณสนามหน้าตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
|
|
ปีพุทธศักราช
2515 เมื่อการสร้างศาลาอ่างแก้วแล้วเสร็จ มหาวิทยาลัยจึงได้ย้ายสถานที่ประกอบพิธีพระราชทาน
ปริญญาบัตรมายังศาลาอ่างแก้ว ดังนั้น พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่
630 (พ.ศ. 25152539) จึงจัด ณ ศาลาอ่างแก้ว ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์ที่ควรบันทึกไว้คือ
ในการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่ 25 (พ.ศ. 2534) เป็นปีฉลอง 25 ปีแห่งพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จัดทำเหรียญที่ระลึกพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่
25 ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นเหรียญทองคำหนัก 25 บาท จำนวน
1 เหรียญ เพื่อขอพระราชทานทูลเกล้าฯถวายเหรียญที่ระลึกดังกล่าวแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ในพิธีพระราชทานปริญญา-บัตร ครั้งที่ 25 เพื่อเป็นศิริมงคลแก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
ปีพุทธศักราช
2540 หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
เสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคารหอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมกับ
พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนั้นการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งที่
31
(พ.ศ. 2540) จึงเป็นปีที่เริ่มใช้หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสถานที่พระราชทานปริญญาบัตร
|
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ควรบันทึกไว้คือ
ปีพุทธศักราช 2539 ตรงกับมหามงคลวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงครองสิริราชสมบัติครบ
50 ปี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชาติบ้านเมืองและพสกนิกรเป็นเอนกประการ
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้จัด กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติจัดสร้างวัตถุมงคลและพระพุทธรูปบูชา
โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ได้ทรงพระกรุณาประทานนามพระพุทธรูปว่า
พระพุทธพิงคนครา ภิมงคล เพื่อให้เป็นพระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
และในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคาร
หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พร้อมกับพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ครั้งที่ 31
วันศุกร์ ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2540 มหาวิทยาลัยโดยอธิการบดีได้น้อมเกล้าฯถวายพระพุทธพิงคนคราภิมงคล
(จำลอง) แด่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว |
|
พรรณไม้ในมหาวิทยาลัย |
|
|
ต้นไม้และดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์
หากสถานที่ใดมีความอุดมสมบูรณ์ในด้านทรัพยากรมาก สถานที่นั้นย่อมต้องมีต้นไม้และดอกไม้ขึ้นอยู่มากมาย
ดังเช่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แห่งนี้ |
ต้นไม้และดอกไม้ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีอยู่มากมายหลากหลายชนิด
บางชนิดก็ขึ้นเองตามธรรมชาติ บางชนิดอาจารย์และบุคลากรในรุ่นแรกก็เป็นผู้นำมาปลูก
ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างความร่มรื่นและสดชื่นแก่ผู้ที่ได้มาพบเห็นและสัมผัส
จนทำให้ต้นไม้และดอกไม้บางชนิดกลายเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่คู่กับมหาวิทยาลัย
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อาทิเช่น ดอกทองกวาว
เป็นต้น |
|
|
ดอกทองกวาวในปัจจุบันยังสามารถหาชมได้บ้าง
บริเวณศาลาอ่างแก้ว หรือ ตามคณะต่างๆ แต่ในอดีตดอกทองกวาวจะมีอยู่ทั่วไปในบริเวณมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ซึ่งจะออกดอกบานสะพรั่งชูช่อสีส้ม ให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ชื่นชมความงามในทุกฤดูหนาว
พื้นสนามและทางเดินจะปูด้วยดอกทองกวาวสีส้มที่ร่วงหล่นเต็มพื้น นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทุกคนจะจดจำดอกทองกวาวได้ดีเนื่องจากดอกทองกวาวถือเป็นสัญลักษณ์ของการสอบ
หากดอกทองกวาวเริ่มบานสะพรั่งนั่นหมายถึงฤดูกาลแห่งการสอบใกล้จะมาถึงแล้ว
ทุกคนจะเริ่มอ่านหนังสือกันอย่างขะมักเขม้น เพื่อให้ผลการสอบผ่านไปได้ด้วยดีไม่ร่วงหล่นเหมือนดอกทองกวาว
ทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีงานพระราชทานปริญญาบัตรด้วย
ความงดงามและสีสันของดอกทองกวาวนั้น ได้ช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความปลาบปลื้มใจให้เพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่า
จึงถือได้ว่าดอกทองกวาวเป็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยและจังหวัดเชียงใหม่อย่างแท้จริง |
นอกจากดอกทองกวาวซึ่งปัจจุบันหาดูได้ยากแล้ว
ยังมีพรรณไม้อื่นๆอีกมากมายที่ช่วยสร้างความสดชื่นให้แก่ทุกคนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เช่น เหลืองอินเดีย พบเห็นได้บริเวณศาลาอ่างแก้ว มักจะชูช่อให้เห็นความงามในช่วงฤดูหนาว
พวงคราม พบได้ทั่วไป ออกดอกเป็นช่อสีม่วงสวยงาม ตะแบกนา
จะออกดอกในช่วงฤดูฝนให้ดอกสีม่วง บานชูช่อต้อนรับนักศึกษารุ่นใหม่ทุกปี
เป็นต้น |
สำหรับไม้ยืนต้นที่อยู่คู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบันนี้มีหลายชนิด
เช่น สัก เป็นพรรณไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจและมีอุดมมากในภาคเหนือ
ให้ดอกสีขาวสะพรั่งในช่วงฤดูฝน ตะเคียนทอง เป็นพรรณไม้พื้นเมืองอีกชนิดหนึ่ง
ออกดอกช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ปีบหรือกาสะลอง
ออกดอกช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน จอล่อหรืออินทนิลบก
เริ่มออกดอกในช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคมและมีช่วงเวลาออกดอกยาวนาน
และอินทนิลน้ำจะออกดอกตั้งแต่ช่วงเมษายนถึงกรกฎาคมซึ่งดอกจะบานเต็มต้นแต่ไม่ผลัดใบ
เป็นความงามของพรรณไม้ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีกชนิดหนึ่ง แม้ว่าจะเพิ่งนำมาปลูกได้ไม่นานมานี้เอง
พะยอม พรรณไม้คู่มหาวิทยาลัยอีกชนิดหนึ่ง สีขาวสะอาด
กลิ่นหอมชื่นใจ ต้อนรับการมาเรียน ภาคฤดูร้อน ปัจจุบันเริ่มมีจำนวนลดน้อยลงเช่นเดียวกับ
ทองกวาว |
|
ความงามของพรรณไม้ช่วยทำให้เรารู้สึกสดชื่นและเบิกบานใจได้
แต่ในบางครั้งเราอาจลืมที่จะรักษาธรรมชาติให้อยู่คู่กับเราเหมือนดังเช่นดอกไม้และต้นไม้บางชนิดในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ปัจจุบันหาชมไม่ได้อีกแล้ว
เราทุกคนจึงควรตระหนักถึง
สิ่งแวดล้อมให้มากขึ้นเพราะหากขาดต้นไม้และดอกไม้เหล่านี้แล้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่คงจะไม่สวยงามดังเช่นทุกวันนี้
|
(ข้อมูลจาก
ชูศรี ไตรสนธิ และ ปริทรรศน์ ไตรสนธิ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) |
|
ประเพณีรับน้องขึ้นดอย |
|
|
ปีพุทธศักราช
2507 ปีแรกของการเปิดดำเนินการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีนักศึกษารุ่นแรกจำนวน
291คน ศาสตราจารย์
นายแพทย์บุญสม มาร์ติน ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองอธิการบดี
ที่รับผิดชอบดูแลนักศึกษา มีความคิดที่ต้องการให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีประเพณีที่แตกต่างไปจากมหาวิทยาลัยอื่น
และเป็นประเพณีที่น่าประทับใจ น่าจดจำไว้ด้วยความภาคภูมิใจ ประกอบกับจังหวัดเชียงใหม่มีหนทางขึ้นดอยสุเทพ
โดยครูบาศรีวิชัยเป็นผู้นำในการทำหนทางดังกล่าว นับว่าเป็นผลงานที่แสดงถึงความศรัทธาและความสามัคคีเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นหลังจากการปฐมนิเทศนักศึกษาในปีแรกแล้ว จึงได้ชักชวนนักศึกษารุ่นแรกทุกคนเดินขึ้นดอยสุเทพพร้อมกันด้วยความสามัคคี
เพื่อนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ ด้วยความศรัทธาและแสดงถึงความเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่อย่างสมบูรณ์ |
|
ประเพณีดังกล่าวนี้นักศึกษารุ่นหลังยังคงปฏิบัติสืบต่อกันมาตราบจนทุกวันนี้และเป็นประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ที่น่าภาคภูมิของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |