|
|
|
|
|
|
กว่าจะมาเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
|
|
|
พุทธศักราช
2501 รัฐบาลได้แถลงนโยบายในสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับการศึกษาข้อหนึ่งว่าจะดำเนินการ
พัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค ตลอดถึงการศึกษาขั้นสูง ดังนั้น
กระทรวงศึกษาธิการจึงได้วางโครงการพัฒนาการศึกษาขึ้นในส่วนภูมิภาค |
ความคิดริเริ่มในการตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ปรากฏครั้งแรกในการประชุมโครงการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค ภาคการศึกษา
8 ณ โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน
พ.ศ. 2502 โดยมี ฯพณฯ ม.ล. ปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน
ผู้เข้าประชุมประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการ
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และศึกษาธิการจังหวัดในเขตการศึกษา
8 จากการประชุมครั้งนั้น ฯพณฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้บันทึกไว้ว่า |
|
การตั้งมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค
8 ตามความเรียกร้องของประชาชน ที่ประชุมเห็นว่าน่าจะจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่จังหวัดเชียงใหม่
.ด้วยเป็นความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
.
|
ประธานได้บันทึกเหตุผลประกอบอีกว่า |
เหตุผลสนับสนุนนั้นมีเหตุผลอย่างหนึ่งคือที่จังหวัดเชียงใหม่
มีสถาบันการศึกษาดี เป็นรากฐานอยู่ไม่น้อย ได้แก่ วิทยาลัยการเกษตรแม่โจ้
วิทยาลัยเทคนิค โรงเรียนฝึกหัดครู โรงเรียนระดับเตรียมอุดมศึกษาดีๆก็มีอยู่หลายโรง
ทั้งที่เป็นโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนราษฎร์ของมิชชั่นด้วย ถ้าเปรียบกับจังหวัดอื่นๆเชียงใหม่ก็เป็นต่อ |
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว
กระทรวงศึกษาธิการก็ได้ทำหนังสือถึง ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น
จำนวน 2 ฉบับ ลงวันที่ 1 และวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2503 ซึ่งฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย
ดังมีใจความว่า เห็นด้วยที่จะให้สร้างที่เชียงใหม่ |
ต่อมาเมื่อวันที่
29 มีนาคม พ.ศ. 2503 คณะรัฐมนตรีได้ลงมติให้อนุมัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
และกำหนดให้เป็นแผนงานในโครงการพัฒนาการศึกษาภาคเหนือ โดยให้เปิดการเรียนการสอนในปีการศึกษา2507
และมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้เตรียมการดังกล่าว |
กระทรวงศึกษาธิการโดยมี
ฯพณฯ ม.ล. ปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นในฐานะประธาน
ได้เตรียมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาตั้งแต่แรกเมื่อ พ.ศ. 2503-พ.ศ.
2506 ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อที่ดิน การปรับปรุงบริเวณมหาวิทยาลัย การก่อสร้างอาคาร
การเตรียมหลักสูตร รวมทั้งการเตรียมบุคลากรทั้งฝ่ายวิชาการและฝ่ายธุรการ
และในปีพ.ศ. 2506 นี้เอง ได้โอนงานให้สภาการศึกษาแห่งชาติดำเนินการต่อ
|
|
การเตรียมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
|
ความมุ่งหมายในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
การจัดตั้งมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมิอาจดำเนินการได้ในชั่วระยะเวลาอันสั้น
หากต้องใช้เวลาเตรียมการอย่างสุขุมรอบคอบ เป็นขั้นตอน และมีความชัดเจนในการดำเนินงานดังที่
ฯพณฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้บอกเล่าถึงแนวคิดของท่าน อันเป็นความมุ่งหมายของการจัดตั้งสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่
ดังนี้ |
1. |
ให้ความสะดวกแก่นักศึกษาในการศึกษาเล่าเรียนและค้นคว้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย
เป็นการป้องกันไม่ให้นักศึกษามาคั่งอยู่ในพระนครมากเกินควร |
2. |
ยกระดับการศึกษาตามโครงการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค |
|
|
หน้าที่และวงงาน |
|
เพื่อให้มหาวิทยาลัยในภูมิภาคแห่งแรกนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์
อำนวยประโยชน์ให้แก่ท้องถิ่นภาคเหนือทางด้านวิชาการเท่าที่พึงกระทำได้
ฯพณฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล จึงได้กำหนดหน้าที่และวงงานไว้ 4 ประการ
ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านการเรียน การสอน การวิจัย และการให้บริการแก่ชุมชน
ดังนี้ |
1. |
จัดการสอนวิชาสาขาต่างๆ ให้ปริญญา อนุปริญญา
และประกาศนียบัตร |
2. |
ส่งเสริมและดำเนินการค้นคว้าเพื่อความงอกงามทางวิชาการ
และให้เกิดประโยชน์แก่สังคม |
3. |
ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นสูงแห่งอื่นๆ
ในท้องที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันซึ่งจะกระทำได้โดยวิธีจัดให้อยู่ในเครือเดียวกัน
(affiliation) |
4. |
ดำเนินการทางวิชาการนอกสถานที่ โดยร่วมมือกับทางวิชาการ
หรือองค์การตามสมควร เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ท้องที่ และแก่มหาวิทยาลัย
(extention) |
|
|
นโยบายในการจัดตั้งมหาวิทยาลัย |
|
ฯพณฯ
หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้กำหนดนโยบายในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยไว้อย่างแจ้งชัด
รัดกุม รอบด้านและสามารถปฏิบัติได้จริง ดังนี้ |
1. |
ดำเนินการให้มีคุณภาพดีพอสมควรตั้งแต่เริ่มแรกเพื่อให้เกิดความเชื่อถือแต่ไม่ให้ฟุ่มเฟือยในทางใดๆ |
2. |
ไม่ลอกแบบมหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่ง
หรือมหาวิทยาลัยของประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ โดยจะพิจารณาอย่างรอบคอบและจัดแบบที่คิดว่าจะเกิดประโยชน์มากที่สุด |
3. |
เขียนกฎหมายและวางรูปแบบการปกครอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความบกพร่องต่างๆ |
4. |
คำนึงถึงสภาพท้องที่และรักษาความงามตามธรรมชาติ |
5. |
ดำเนินการตามความต้องการ (need) และความจำเป็นสำหรับท้องที่และให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาภาคเหนือของรัฐบาล |
6. |
ให้ความสะดวกแก่อาจารย์และศาสตราจารย์ในการอยู่
ในการทำงาน และส่งเสริมให้เป็นผู้ที่มีความสามารถยิ่งขึ้น |
7. |
นอกจากจะสอนนิสิตให้มีความรู้ เพื่อได้ปริญญา
อนุปริญญา หรือประกาศนียบัตร อาจารย์จะต้องให้ความรอบรู้และสร้างนิสัย
(character) ให้แก่นิสิตด้วย |
|
|
การสำรวจพื้นที่และการวางผัง |
|
พื้นที่สำหรับการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บริเวณเชิงดอยสุเทพ มีจำนวน 579 ไร่ กับ 68 ตารางวา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการจัดซื้อ
และมีบางส่วนได้รับบริจาคจาก นางกิมง้อ นิมมานเหมินท์ พื้นที่ดังกล่าวห่างจากคณะแพทยศาสตร์ไม่มากนัก |
|
|
ในการเตรียมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ได้มีการสำรวจสถานที่ และจัดทำแผนที่โดยละเอียด โดยมี Dr. Paul
W. Seagers ซึ่งเป็นสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญการสร้างโรงเรียน และสถาบันการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอินเดียนา
สหรัฐอเมริกา มาช่วยในการวางผัง ได้มีการประชุมสถาปนิกและเจ้าหน้าที่เรื่องการวางผังครั้งแรก
ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2504 บนดอยสุเทพ |
|
ฯพณฯ
หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล บันทึกไว้ว่า
.การวางผังทั่วไปของมหาวิทยาลัยนั้น
เป็นเรื่องสำคัญอย่างที่สุดและเป็นเรื่องสนุกให้ความเพลิดเพลินไปในตัว
เพราะต้องบุกป่าฝ่าดงดูบริเวณให้เห็นด้วยตาจริง เพียงแต่พึ่งแผนที่เท่านั้นหาเพียงพอไม่
..รถจิ๊ปที่ใช้ยกล้อนอนตะแคงไปครั้งหนึ่ง
ไม่ใช่เพราะแล่นเร็ว แต่เป็นเพราะความลุ่มๆดอนของพื้นที่
. |
|
รายชื่อสถาปนิกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
|
|
แผนผังบริเวณ |
ดร.พอล ดับบลิว. ซีเกอรส์ |
|
นายเจนจิต กุณฑลบุตร |
|
นางสาวธัญญา บัวทอง |
ตึกมหาวิทยาลัย |
ม.จ. สมัยเฉลิม กฤดากร |
|
ม.ร.ว. มิตรารุณ เกษมศรี |
ตึกอำนวยการ |
นายพูนจิตร มีกังวาล |
|
นายวรเทพ เพ็ญเพียร |
ตึกวิทยาลัยชาย |
นายปริญญา อังศุสิงห์ |
|
นายสากล ทีปิรัช |
ตึกวิทยาศาสตร์ |
นายสมาน วสุวัต |
บ้านพักอาจารย์พิเศษ |
นางพาสนา ตัณฑลักษณ์ |
|
นายจุฬา พรรธนะแพทย์ |
ครุภัณฑ์และตกแต่งภายใน |
นางพาสนา ตัณฑลักษณ์ |
ประตูและรั้ว |
นายปริญญา อังศุสิงห์ |
|
|
งบประมาณก่อสร้างและดำเนินการ |
|
จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
29 มีนาคม พ.ศ. 2503 ได้ลงมติอนุมัติให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ใน พ.ศ. 2507 โดยกระทรวงศึกษาธิการจะจัดสรรงบประมาณจำนวน 20 ล้านบาท
ในขั้นเตรียมการระหว่าง พ.ศ. 2504 ถึงกลาง พ.ศ. 2507 ส่วนการดำเนินงานหลังจากนั้นถึง
พ.ศ. 2509 สภาการศึกษาแห่งชาติจะจัดสรรงบประมาณ จำนวน 15 ล้านบาทให้มหาวิทยาลัย |
เพื่อให้สอดคล้องโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและพัฒนาการศึกษา
หรือโครงการ 3-6 ปี ที่กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ จัดทำขึ้นในช่วงระยะเวลาต่อจากนั้นไม่นานนัก
จึงเป็นผลให้การเตรียมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมีงบประมาณดำเนินการมากขึ้น
โดยฯพณฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล บันทึกไว้ว่า |
กระทรวงศึกษาธิการได้เพิ่มยอดเตรียมการสร้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จาก
20 ล้านบาทเป็น 30 ล้านบาท และสภาการศึกษาแห่งชาติได้เพิ่มยอดดำเนินงานจาก
15 ล้านบาท เป็น 25.8 ล้านบาท
. |
|
การจัดเตรียมอาคารสถานที่ |
|
ในส่วนของการวางแผนการจัดอาคารสถานที่สำหรับมหาวิทยาลัยแห่งนี้
สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของ ฯพณฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ต่อการขยายตัวในอนาคตของมหาวิทยาลัย
ดังนั้นท่านจึงให้แนวคิดในการออกแบบผังอาคารและบริการต่างๆ อาทิเช่น |
|
ตึกอำนวยการ |
จะต้องใหญ่พอสมควร
เพราะเป็นที่รวมของกิจกรรมของมหาวิทยาลัยทุกอย่าง โดยเฉพาะทางฝ่าย
ธุรการ และควรจะต้องตั้งอยู่ตรงกลางบริเวณมหาวิทยาลัย ค่อนมาทางถนนใหญ่
ซึ่งเป็นทางเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อสะดวกในการติดต่อทั้งภายในและภายนอก
ตึกอำนวยการนี้จะเป็นสำนักงานของอธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ประสานงาน
เลขาธิการ และคณบดีคณะต่างๆ มีห้องประชุมสภามหาวิทยาลัย ห้องสารบรรณ
ห้องสถิติ ทะเบียน และระเบียนของนิสิต ซึ่งเมื่อสะสมกันหลายปีก็ต้องการที่เก็บมาก
มีห้องการเงิน หน่วยพยาบาล หน่วยแนะแนว หน่วยการพิมพ์ ห้องรับแขก และห้องรับประทานอาหาร
ฯลฯ |
|
|
ตึกหอสมุดกลาง |
ตึกหอสมุดกลางนั้น
จำเป็นอย่างยิ่งและจะต้องใหญ่มากพอสมควร เพราะมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคไม่สามารถจะพึ่งหอสมุดนอกมหาวิทยาลัยได้
เช่นในพระนครและธนบุรี หอสมุดกลางนี้จำเป็นจะต้องอยู่ตรงกลางบริเวณมหาวิทยาลัย
มีถนนไปได้หลายทาง เพื่อให้นิสิตซึ่งอยู่โดยรอบมาได้สะดวก |
|
|
สนามกีฬา |
การให้นิสิตอยู่รวมกันเป็นหมู่ใหญ่อย่างเช่นมหาวิทยาลัยนั้น
จำเป็นต้องส่งเสริมให้มีกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
เพื่อความสามัคคี ฯลฯ สิ่งแรกที่ควรจัดคือ จัดให้เล่นกีฬาประเภทต่างๆ
ทั้งชายและหญิง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะจัดเรื่องนี้ได้สะดวก เพราะลักษณะพื้นที่มีบริเวณที่เหมาะจะทำสนามกีฬาหลายแห่ง
ไม่เป็นที่วิตกแต่อย่างใด
|
|
บริการสำหรับอาจารย์และนิสิต |
|
เนื่องจากในสมัยนั้น
เชิงดอยสุเทพ ซึ่งกำหนดเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยู่ไกลจากตัวเมืองถึง
6 กิโลเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยเฉพาะบริการด้านสาธารณูปโภคต่างๆ
กระจุกอยู่ในตัวเมืองทั้งสิ้น จึงไม่สะดวกสำหรับอาจารย์และนิสิต ที่จะเดินทางไปใช้บริการ
เช่น ซื้อหนังสือ เครื่องเขียน ซ่อมรถจักรยาน ส่งเสื้อผ้าไปซักรีด ฯลฯ
ฯพณฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงมอบนโยบายไว้ว่า |
.มหาวิทยาลัยจึงควรกันที่ไว้แห่งหนึ่ง
เพื่อสร้างบริการเหล่านี้ให้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และอาจร่วมมือกับเอกชนด้วยก็ได้
เรื่องนี้อาจครอบคลุมไปถึงการจัดตั้งที่ทำการไปรษณีย์และสาขาธนาคารออมสินด้วย
และเมื่อจำเป็นอาจจัดตั้งโรงเรียนประถมศึกษาขนาดย่อมสำหรับบุตรหลานของเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย
|
ผลพวงแห่งการวางรากฐานในด้านบริการ
ซึ่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้นำมาปฏิบัติ คือ ประชากรของมหาวิทยาลัย และประชากรบริเวณใกล้เคียงได้ใช้บริการของที่ทำการไปรษณีย์สาขาย่อยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ธนาคารออมสิน สาขาดอยสุเทพ และธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ตลอดจนการส่งบุตรหลานของตนเข้าเรียนในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เป็นอาทิ |
|
ที่พักอาจารย์และศาสตราจารย์ |
|
ในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนั้น
ความยากลำบากอยู่ที่การหาอาจารย์ และศาสตราจารย์ผู้สามารถ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคยิ่งมีความยากลำบากเป็นทวีคูณ
จึงต้องพยายามจัดบริการสำหรับอาจารย์และศาสตราจารย์ให้อยู่ในระดับที่ดี
เริ่มด้วยการจัดที่พักอาศัยและต้องจัดครอบคลุมถึงเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยอื่นๆด้วย
ฯพณฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง และรอบคอบว่าที่พักอาจารย์โสดจะต้องอยู่ภายในบริเวณวิทยาลัยเพื่อช่วยดูแลนิสิตในตอนเย็นตอนค่ำ
ต้องมีที่พักอาจารย์และศาสตราจารย์ที่มีครอบครัวใหญ่ กลาง และเล็ก ที่พักอาจารย์ชาวต่างประเทศ
และบ้านพักอธิการบดี ซึ่งควรเป็นที่จัดงานรับรองได้ |
นอกจากนี้
ท่านยังมีแนวคิดในการจัดหาที่พักสำหรับอาจารย์ และศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยในพระนคร
หรือบุคคลอื่นที่ไปทำการสอนเฉพาะวิชาระยะสั้นเป็นครั้งคราวหรืออาจมีการเชิญอาจารย์จากที่อื่นไปสอนวิชาชั้นสูง
ที่มีผู้รู้น้อยหรือวิชาที่เกิดจากการค้นคว้าใหม่ๆอีกด้วย |
|
ที่พักนิสิต |
|
|
|
ฯพณฯ
หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็นผู้ที่มีความรอบคอบ และหัวใจแห่งการเป็นครู
ท่านพิจารณาเห็นว่าปัญหาเรื่องที่พักของนิสิตนั้นเป็นเรื่องใหญ่
ถ้าไม่คิดแก้เสียแต่เริ่มแรกก็มักจะแก้ไม่ตก นิสิตที่มาจากต่างจังหวัดจะเที่ยวหาที่พักตามแต่จะหาได้
ถ้ามหาวิทยาลัยมีที่พักจำกัด ก็จะพักกับญาติห่างๆบ้าง เพื่อนฝูงบ้าง
อยู่หอพักเอกชนบ้าง อาศัยวัดบ้าง เช่าบ้านรวมกันอยู่บ้าง บ้างก็จะย้ายไปย้ายมาไม่เป็นหลักแหล่ง
ได้รับความลำบากนานาประการ ทั้งเรื่องการคมนาคม เรื่องอาหารการกิน |
|
ข้อสำคัญคือ
บิดา มารดา หรือผู้ปกครองที่แท้จริงมิได้ตามอยู่ด้วย เพื่อให้ความรักและความเอาใจใส่คอยตักเตือนดูแล
และช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า นิสิตจำนวนมากจึงมิได้ศึกษาเล่าเรียนตามควร
ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ก่อหนี้สินรุงรัง ความยั่วยวนของสังคมทำให้เสื่อมเสียไป
ปัญหาเหล่านี้ คงจะเกิดที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีก 5 - 6 ปี วิธีแก้คือ
จัดหอพักให้เพียงพอ และทำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้เป็น Residential University
โดยมีห้องต่างๆที่จำเป็น คือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับ-ประทานอาหาร
สำนักงาน ห้องพยาบาล ห้องทำงานเวลากลางคืน ฯลฯ แต่จะเปลืองงบประมาณ และอาจทำไม่สำเร็จ
จึงคิดหาวิธีร่วมมือกับเอกชนที่จัดตั้งหอพักในเวียง โดยวิทยาลัยเป็นผู้คัดเลือกนิสิต
และจัดส่งให้อยู่หอเอกชนที่คัดเลือกไว้แล้ว สำหรับนิสิตที่เป็นชาวเชียงใหม่ก็ให้อยู่บ้าน
แต่เตรียมแผนวางระเบียบไว้ว่าระหว่างเวลา 4 ปี ที่นิสิตจะต้องศึกษาตามหลักสูตรปริญญาตรี
นิสิตจะอยู่หอพักในเวียงได้ไม่เกิน 2 ปี อีก 2 ปีต้องมาอยู่ในวิทยาลัย
นิสิตชาวเชียงใหม่ให้อยู่บ้านได้ไม่เกิน 3 ปี อีก 1 ปีให้อยู่ในวิทยาลัย |
ปัญหาในการปกครองนิสิต
ท่านก็พิจารณาไว้อย่างรอบคอบ เพราะในระหว่างเรียน คณบดีย่อมปกครองนิสิต
แต่เมื่ออยู่หอพัก การปกครองฝ่ายหอพักย่อมต้องมี จึงเป็นสองฝักสองฝ่าย
ถ้าจะยกให้หอพักปกครอง นิสิตทุกคณะก็ไม่ได้อยู่หอพัก แต่คณบดีก็ต้องเชี่ยวชาญด้านวิชาการเป็นใหญ่
น้อยนักจะได้นักวิชาการและนักปกครองในบุคคลเดียวกัน ในที่สุดจึงจัดรูปแบบการปกครองของมหาวิทยาลัยให้มีอธิการบดีเป็นหัวหน้า
วิทยาลัยหนึ่งๆมีอธิการเป็นหัวหน้าปฏิบัติงานรับผิดชอบต่ออธิการบดี และอธิการมีหน้าที่ปกครองดูแลช่วยเหลือนิสิตทั้งด้านการศึกษาและความเป็นอยู่โดยทั่วไป
เท่ากับเป็นผู้ปกครองทางโรงเรียนและผู้ปกครองทางบ้านพร้อมๆกัน คณบดีให้พ้นหน้าที่ปกครองคงปฏิบัติหน้าที่เฉพาะด้านวิชาการ |
|
การเตรียมหลักสูตรการสอน |
|
ฯพณฯ
หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้วางรากฐานทางการศึกษาสำหรับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อย่างทันสมัย
ทัดเทียมอารยประเทศโดยครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์ รวมทั้งสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้บัณฑิตของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นบัณฑิตที่สมบูรณ์ |
หลักสูตรปริญญาตรี
ตามปกติกำหนดไว้ 4 ปี ซึ่งย่อมจะต้องมีข้อยกเว้นบ้าง เช่น แพทยศาสตร์
ต้องมีการเตรียมแพทยศาสตร์เสียก่อน 2 ปี เป็นต้น เวลาศึกษาตามหลักสูตร
อักษรศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ 4 ปี นั้นควรจะเพียงพอ และถ้าจัดการสอนให้ดีก็ควรจะมีเวลาเหลือบ้าง
เพราะในต่างประเทศหลายแห่งกำหนดเพียง 3 ปีเท่านั้น เวลาที่เหลือนั้นควรจะได้ใช้เป็นเวลาทำให้นิสิตมีความรอบรู้เสริมหลักสูตรปริญญาตรี
สรุปความได้ว่านิสิตจะต้องเรียน 2 หลักสูตร ดังนี้ |
1. |
หลักสูตรวิชาเฉพาะเพื่อรับปริญญาตรี ซึ่งคณบดีเจ้าของหลักสูตรนั้นเป็นผู้จัดการสอนในนามมหาวิทยาลัย อาจารย์และศาสตราจารย์ที่สังกัดวิทยาลัยต่างๆ เป็นผู้สอนตามคณบดีกำหนด |
2. |
หลักสูตรวิชาทั่วไปเพื่อทำให้นิสิตเป็นผู้รอบรู้
ซึ่งต่างวิทยาลัยต่างจัดสำหรับนิสิตในวิทยาลัยของตน อาจารย์และศาสตราจารย์ในวิทยาลัยเป็นผู้สอนตามที่อธิการจัดให้เรียนตามหลักสูตรของวิทยาลัยนี้ |
|
ก. |
นิสิตเรียนวิชาเฉพาะเพื่อรับปริญญาใด จะขาดความรอบรู้ทางใด |
|
ข. |
พื้นความรู้เดิมของนิสิตคนใดขาดตกบกพร่องทางใดบ้าง ถ้านิสิตผู้ใดรอบรู้พอควรอยู่แล้ว อาจยกเว้นให้ได้หลายวิชา เพื่อเอาเวลาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น |
|
ค. |
นิสิตหญิงกับนิสิตชายอาจต้องการความรอบรู้ต่างกันบ้าง
มหาวิทยาลัยอาจทำการตกลง แบ่งเวลาให้นิสิตได้ศึกษา 2 หลักสูตร
ดังนี้ |
|
|
ปีที่ 1 |
ปีที่ 2 |
ปีที่ 3 |
ปีที่ 4 |
ให้ใช้เวลาศึกษาหลักสูตรวิชาทั่วไป |
50% |
30% |
10% |
- |
ให้ใช้เวลาศึกษาหลักสูตรปริญญาตรี |
50% |
70% |
90% |
100% |
|
ในภาคต้นของปีที่
1 วิทยาลัยควรจัดสอนวิชาที่นิสิตทุกคนควรศึกษาเป็นวิชาบังคับ เช่น หลักธรรมในศาสนา
ศิลปะและวัฒนธรรม ฯลฯ ต่อเมื่อรู้จักและดูพื้นความรู้เดิมของนิสิตแล้วจึงจัดสอนวิชาอื่นๆ
ในภาคที่ 2 เช่น หลักกฎหมายเบื้องต้น หลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน
เป็นต้น |
|
ชื่อของมหาวิทยาลัย |
|
อาจกล่าวได้ว่าการตั้งชื่อมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งสำคัญ
และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมิใช่น้อยด้วยธรรมเนียมปฏิบัติแต่เดิมมานั้นมักตั้งชื่อมหาวิทยาลัยตามพระนามขององค์พระมหากษัตริย์ผู้พระราชทานกำเนิดสถาบันนั้น
หรือมิเช่นนั้นก็ตั้งชื่อจำเพาะตามสาขาวิชาหลักที่มหาวิทยาลัยรับผิดชอบ
แต่สำหรับการได้มาซึ่งชื่อของมหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นใหม่แห่งนี้ดูเหมือนว่าเป็น
การปฏิวัติ อีกอย่างหนึ่ง ซึ่ง ฯพณฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้น
ได้บันทึกไว้ใน บันทึกของปม. เรื่องการจัดเตรียมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในโครงการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค
ภาคศึกษา 8 ความตอนหนึ่งว่า |
..ฯพณฯ
นายกรัฐมนตรีได้สั่งไว้ว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลปฏิวัติให้กระทรวง ทบวง
กรมต่างๆ ปฏิวัติงานให้เข้าสู่สภาพที่ควร ในทุกๆกรณี ถ้าเราเรียกชื่อมหาวิทยาลัยที่จังหวัดเชียงใหม่ว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ก็จะเป็นการปฏิวัติแล้ว คือเรียกชื่อมหาวิทยาลัยตามชื่อเมือง เป็นแห่งแรกในประเทศไทย
ชื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพราะมาก ขออย่าให้ใครมาแก้ไขเป็นอย่างอื่นเลย....
|
ด้วยเหตุนี้มหาวิทยาลัยที่ถือกำเนิดขึ้นจากความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในภูมิภาคของประเทศไทย
ณ จังหวัดเชียงใหม่ จึงมีชื่อว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ตราบจนกระทั่งปัจจุบัน |
|
ตั้งหลักชัยการศึกษา |
|
|
|
นายจรัส
มหาวัจน์ ผู้มีบทบาทสำคัญอีกท่านหนึ่งในการดำเนินการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ได้บันทึกไว้ในหนังสือชีวิตและงานว่า |
...โดยที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นบ่อเกิดของสรรพวิทยาการทั้งหลาย
เป็นบ่อน้ำวิเศษที่จะชำระล้างกิเลสทั้งหลายให้หมดสิ้น ประชาราษฎรทุกผู้มีจิตคิดเห็นแต่ประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
บ้านเมืองจะประสบแด่สวัสดิ มงคลผลวิเศษ ดังปรากฏมาแล้วในอดีต |
|
|
ข้าพเจ้าจึงมีความคิดขึ้นมาว่า หากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะมีสิ่งที่เป็นมงคลอันเกี่ยวกับวิทยาการความรู้ทั้งหลาย
และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นมิ่งขวัญแก่ผู้อาศัย ณ ที่ชัยภูมิแห่งนี้ จึงปรารภต่อบรรดาคณะ
ม.ช.ม.ซึ่งทำงานร่วมกัน ต่างก็เห็นควรด้วย จึงได้นำความนี้ไปกราบเรียนขอความเห็นต่อ
ฯพณฯ ม.ล.ปิ่น มาลากุล ประธานการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งท่านก็ไม่ขัดข้อง
และกรุณาตั้งชื่อวัตถุมงคลนั้นว่า หลักชัยการศึกษา
|
ถึงวันที่
15 กันยายน 2505 เป็นวันดี ชาวคณะ ม.ช.ม.ก็ประกอบพิธีตั้งหลักชัยการศึกษา
โดยมีนาวาอากาศเอก ประสิทธ กุสุมารทัต เป็นเจ้าพิธี ม.ล.ปิ่น มาลากุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน การประกอบพิธีดำเนินไปครบถ้วนตามแบบอย่างที่มีมาแต่โบราณทุกประการ... |
|
พิธีวางศิลาฤกษ์ |
|
|
|
หลังจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ได้มีพิธีตั้งหลักชัยการศึกษา ต่อมาจึงได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(ปัจจุบัน คือศาลาธรรม) ในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2506 โดยมี ฯพณฯ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานวางศิลาฤกษ์ และได้กล่าวคำปราศัย
มีใจความสำคัญ ดังนี้ |
|
|
|
...ข้าพเจ้ามีความยินดีและรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอันมาก
ที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยือนพี่น้องชาวเชียงใหม่ และได้มาประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์มหาวิทยาลัยต่างจังหวัดแห่งแรกของประเทศไทยวันนี้
ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายและพี่น้องชาวเชียงใหม่ คงจะจำคำกล่าวของข้าพเจ้าในคราวเดินทางมาวางศิลาฤกษ์อาคารคณะแพทยศาสตร์
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ปีกลายนี้ได้ว่า ข้าพเจ้าตั้งปณิธานที่จะได้เห็นการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้น
เพื่อให้เป็นสถานการศึกษาของบรรดากุลบุตรกุลธิดาในภาคเหนือนี้โดยเร็วที่สุด
ซึ่งบัดนี้ก็ได้ดำเนินการมานับว่าสมดังเจตนาขั้นหนึ่งแล้ว... |
|